วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เริ่มต้นของความคิด

จากเดิมที่ตัวเองก็เป็นลูกหลานเกษตรกรอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าพ่อและตัวเองจะรับราชการก็ตาม แต่ก่อนตอนเด็กๆ ยังเล็กมากๆ  พ่อกับแม่ ก็ไปทำไร่อยู่ที่ อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ปลูกถั่ว ปลูกมัน ตามประสาคนจน หลังจากนั้นพอเริ่มเข้าโรงเรียน พ่อกับแม่ก็ส่งให้ไปอยู่กับปู่และย่า ที่ อ.ท่ามะกา ส่วนพ่อไปรับราชการที่ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง ต่อมาพ่อกับแม่ก็ได้ไปซื้อที่ไว้ที่ อ.ทองผาภูมิ ประมาณ 30 ไร่ พอ ป.3 แม่ก็มารับให้ไปอยู่ด้วยกันกับน้องอีก 2 คน (เมื่อก่อนโดนทิ้งให้อยู่กับปู่ ย่า คนเดียว) ที่ทองผาภูมิ ก็ปลูกฝ้ายบ้าง ข้าวโพดบ้าง บางครั้งแม่ก็ไปรับจ้างเก็บมะนาว แล้วแต่ฤดูการ พอ ป.5 ป.6 ก็กลับมาอยู่กับปู่ ย่า ตามเดิม ซึ่งบ้านปู่ก็ทำนา ทำไร่อ้อย เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว ไปตามวิถีชีวิตบ้านนอก พอขึ้น ม.1 พ่อกับแม่ก็มารับไปอยู่ด้วยเรียนต่อในเมือง จนเรียนจบ ม.6 เมื่อปี 39 ก็ไปเรียนต่อนักเรียนนายสิบ 1 ปี ก็ได้มาบรรจุอยู่ที่ค่ายสุรสีห์ กระทั้งประมาณปี 2547 พ่อก็ได้เกษียณอายุราชการก่อนกำหนด และได้ไปซื้อที่อยู่ไม่ไกลจากค่ายสุรสีห์มากนัก ที่จริงมันก็อยู่ติดกันนั้นแหละ (ยอมขายที่มรดกของปู่ เพื่อมาซื้อที่แถวนี้ เหตุผล อยากอยู่ใกล้ลูกๆ นี้แหละคนเป็นพ่อ เป็นแม่ ) โดยครั้งแรกซื้อไว้ 2 ไร่  แบ่งพื้นที่สำหรับปลูกบ้าน ขุดบ่อปลาเล็กๆ เลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ เลี่้ยงเป็ด ปลูกผักสวนครัว ที่จำเป็นจะต้องใช้ในชีวิตประจำวัน
รูปด้านบนพอเห็นบ่อน้ำแล้วเสียดาย ตอนนี้ไม่มีน้ำเลย เพราะปีก่อนช่วยกันขุดดินขึ้นมาเพื่อให้บ่อลึกลงไปอีก แต่พอฝนตกลงมา ดันเก็บน้ำไม่อยู่ ต่อมาได้ซื้อที่เพิ่มด้านหน้าอีก 1 ไร่ เดิมทีเจ้าของเก่าปลูกข้าวโพดบ้าง ปล่อยว่างบ้าง ปีแรกพ่อกับแม่ก็ยังไม่ปลูกพืชผักอะไร ปีต่อมาก็เริ่มปลูกมันสำปะหลัง ปลูกอยู่ปีเดียว ก็ไม่ได้ปลูกอะไรอีก หลังบ้านพ่อ กับแม่ก็เริ่มปลูกผักหลายอย่าง ทั้งต้นแค กล้วย มะนาว ชะอม ถั่ว ต้นยอ มะม่วง ขนุน ต้นเพกา (บางที่ก็เรียกฝักอีกา ฝักลิ้นฟ้า) ซึ่งบางอย่างเช่น ตำลึง สายบัว หลดบัว(ไหลบัว) ผักบุ้ง ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ทั้งในบ้าน และขึ้นตามห้วยหนองคลองบึง ทั่วไป แม่ก็เก็บเอาไปขายที่ตลาด ถึงตอนนี้พวกผม 3 คนพี่น้องก็มีครอบครัวกันหมดแล้ว โดยน้องคนเล็กจะอยู่กับพ่อกับแม่ คนกลางก็อยู่ในค่ายฯ เหมือนกันกับผม ซึ่งทุกวันหลังเลิกงานพวกผมก็จะเข้าไปทำกับข้าว กินกันโดยส่วนใหญ่จะเป็นผัก เป็นปลา ที่มีอยู่ในบ้านนำมาประกอบอาหารกินกัน ทั้งเป็นกับข้าว และกับแกล้มไปในตัว ปลาดุกย่าง ที่เลี้ยงในบ่อซีเมนต์ที่ก่อขึ้นกันเอง เนื้อปลาจะมีความหอม อร่อย ไม่เหม็นคาว หรือเหม็นหัวอาหาร เก็บยอดสะเดาข้างบ้านมาแกล้ม หัวกระทือที่ปลูกอยู่ใต้ต้นขนุนก็เก็บเอามาต้มจิ้มน้ำพริก แหม่!  อร่อยจริงๆ ต่อมาเมื่อประมาณ ปี 2550 ผมเองมีความรู้สึกเบื่อกับการอยู่บ้านพักของทางราชการ (ที่จริงก็เบื่อมาหลายปีแล้วน่ะ) จึงตัดสินใจไปหาซื้อบ้านซึ่งเป็นบ้านจัดสรร ตอนนั้นกำลังมาแรง โดยแม่ก็บอกอยู่หลายครั้งว่าให้มาหาซื้อที่อยู่ใกล้พ่อใกล้แม่ แต่ก็ไม่ยอมเชื่อ (ตอนนั้นกลัวเงินไม่พอด้วย มีเงินซื้อที่แต่ไม่มีเงินปลูกบ้านประมาณนั้น) อีกอย่างก็กลัวคุณนาย เรียกซ่ะหรู เขาเปิดร้านเสริมสวย เป็นห่วงเวลาเดินทางกลับบ้าน เพราะจะปิดร้านก็ต้องมี 2 - 3 ทุ่ม แถวบ้านพ่อ ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยมีคนอยู่มากเหมือนปัจจุบัน อีกอย่างคือตัวคุณภรรยาก็ไม่อยากอยู่แบบลูกทุ่งสักเท่าไร เด็กเตบก็เงี้ยะ เลยตกลงกันไปดูบ้านที่ลาดหญ้าข้ามแม่น้ำมาหน่อย ก็เลยได้ที่อยู่กันปัจจุบันนี้ล่ะครับ พออยู่มาหลายปีเข้าถึงตอนนี้ ก็อยากมีชีวิตอยู่แบบบ้านพ่อกะแม่ อยากทำการเกษตรผสมผสานกับเขาดูบ้าง เหมือนเป็นการเตรียมตัวก่อนที่ตัวเองจะเกษียณอายุอีก 20 กว่าปีข้างหน้า หากรอเกษียณคงจะมีแรงทำกินน่ะ ถ้าเริ่มเสียตอนนี้ ถึงเวลานั้น ประสบการณ์คงมีพอตัวสำหรับด้านเกษตร  ตอนนี้ก็ได้แต่เก็บเงิน เพื่อหาซื้อที่สำหรับการจะเป็นเกษตรกรผสมผสาน (ทหาร+ชาวไร่ชาวนา) 555 สำหรับการเริ่มต้นตอนนี้ รอบบ้านก็เริ่มปลูกมะนาว ชะอม แถมด้วยปลูกชวนชมอีกไม่กี่ต้น แพะตอนนี้ก็ฝากให้พ่อดูแลให้อยู่ .... ติดตามกันต่อไปสำหรับความ อยากมีชีวิตแบบเกษตรพอเพียง กินทุกอย่างที่ปลูก ปลูกทุกอย่างที่กิน

 
 สำหรับบล็อกนี้ก็เป็นการเขียนเพื่อเป็นสมุดบันทึกอย่างหนึ่ง กันตัวเองลืม ไม่ได้อวดความรู้ (เพราะความรู้ยังไม่มี) ไม่ได้ก่อกวนใคร (ถ้ามันไปกวนก็ขออภัย) ถ้าใครมีความรู้เห็นแล้วสงสารก็ช่วยชี้แนะได้น่ะคร้าบบบบบ
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น