วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปลูกกะเพราไว้ในบ้านก็ดีอย่างนี้

      เห็นต้นกะเพราในบ้านต้นนี้ ขนาดสูงเกือบเท่าหัวไหล่ผม (ผมสูง 170 น่ะครับ) ต้นนี้เป็นกะเพราแดงที่ขึ้นเองเลยปล่อยเอาไว้ไม่ตัดทิ้ง เพราะมองถึงอนาคตข้างหน้า ซึ่งก็คือปัจจุบันแตกยอดออกมากมาย แถมให้ลูกที่เกิดจากดอกที่หล่นเต็มพื้น ตอนนี้ก็ขุดขึ้นมาปลูกในถุงไว้สำหรับแจกจ่ายให้พี่ป้าน้าอา ซึ่งกะเพราแดงนั้นจะมีความหอมและฉุนกว่ากะเพราขาวหรือกะเพราตามตลาดที่เขาขายกันแบบว่าเวลาผัดกะเพราความหอมต่างกันคนล่ะเรื่องเลยทีเดียว บางคนเวลาไปขุดกะเพราตามป่าซึ่งก็เป็นกะเพราแดงนี้แหละ แต่เวลาปลูกไปได้สักระยะหนึ่ง เมื่อต้นเริ่มโตกะเพราเจ้ากรรมก็ดันกลายพันธุ์จากที่เอามาจากป่าเป็นสีแดง พอเริ่มโตกลับกลายเป็นกะเพราบ้านเฉยเลย ที่เห็นและได้ยินมาก็ที่บ้านพ่อผมเอง ซึ่งพอกลายพันธุ์แล้วความหอมความฉุนก็จะลดลงไปด้วย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้ต้นเล็กๆ ที่ผมเอาใส่ถุงไว้มันจะกลายพันธุ์เหมือนกันหรือเปล่า เพราะบางต้นที่ผมไม่ขุดเอามาใส่ถุงไว้มันก็จะเหมือนกะเพราบ้านดีๆ นี้เอง คือต้นออกขาวๆ ไม่ออกแดงๆ หรือม่วงเหมือนบางต้น ก็ต้องรอดูกันต่อไปล่ะกัน  มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมสังเกตุดู ก่อนหน้านี้ที่ผมเอากล้าต้นเล็กๆ มาปลูกในกระถาง แล้วนำไปวางไว้ที่ใต้ต้นหูกระจง เพื่อพักฟื้นไว้ รดน้ำวันสองวัน ยอดมันหายไปทุกกระถางเลย (ปลูกไว้ประมาณ 8 กระถาง) ทีแรกนึกว่าหนอนมันมากินยอด แต่มองหาหนอนมันก็ไม่มี นึกขึ้นได้ว่าต้องเป็นนกกระจอกที่อยู่แถวๆ นั้นแน่ๆ แล้วทำไมที่ต้นใหญ่มันไม่ไปกิน ก็แปลกใจเหมือนกัน ตอนนี้ลองเอาไปไว้ใต้ต้นกะเพราต้นใหญ่ ก็ไม่เห็นมันจะมากินนี้ มันก็น่าแปลกน่ะ
    คราวนี้ก็มาถึงผัดกะเพราเมนูเย็นนี้ดีกว่าครับ เมื่อมีกะเพราแล้วก็ต้องมีพริก สำหรับพริกต้นนี้ก็ไม่ได้ปลูกเองน่ะครับ นกน้อยเขามาปลูกให้ เห็นว่าอนาคตจะต้องได้ใช้ประโยชน์เหมือนกันก็เลยพรวนดิน    ให้น้ำให้ปุ๋ยเพื่อจะได้เจริญงอกงาม แต่ก็ไม่วายมีอยู่ครั้งหนึ่งโดนคุณแม่ยายตัดทิ้งซ่ะเหลือแต่ตอ สงสัยคงเห็นว่ามันรกเพราะก่อนหน้านี้สภาพข้างบ้านตรงนี้ไม่ได้เป็นแบบนี้ มีทั้งหญ้าทั้งเถาตำลึงขึ้นเต็มไปหมด ตอนนั้นต้นพริกสูงประมาณเกือบถึงหน้าอกได้ ผมเห็นแล้วก็เสียดายเลยรดน้ำใหม่ เลยได้เท่าที่เห็นอยู่มุมรั้วหลังต้นมะนาวต้นกลางนั้นแหล่ะครับ คงไม่สูงไปกว่านี้แล้วล่ะ เพราะผ่านมาเป็นเดือนแล้วก็ยังสูงเท่าเดิม
   หลังจากเก็บยอดกะเพราและพริกมาเรียบร้อยแล้ว ก็มาดำเนินการเด็ดใบกะเพราแช่น้ำไว้ก่อนซักประมาณ 1 ถ้วย (เขาว่าใส่กะเพรายิ่งเยอะยิ่งอร่อย)  เสร็จแล้วก็ไปเตรียมพริกกับกระเทียม หันหมูเป็นชิ้นๆ ไม่ต้องใหญ่เกินล่ะ หรือบางท่านจะสะดวกหมูบดก็แล้วแต่ พอหั่นหมูเสร็จก็หมักหมูกับซีอิ้วขาว กับน้ำมันหอย อันนี้ก็แล้วแต่เหมือนกันท่านที่เป็นพ่อครัวหัวป่าอยู่แล้วก็คงมีวิธีที่ไม่เหมือนผม ผมมันพ่อครัวมือใหม่ก็ต้องทำไปตามสมองและความไม่รู้ล่ะกัน (555 แอบหัวเราะคนเดียว) อ่าวลืมให้ดูยอดกะเพราที่เก็บมาครับ เขาบอกว่าเวลาเก็บกะเพราให้หามีดหรือกรรไกรตัดกิ่งตัดเอา อย่าใช้มือเด็ดจากต้น สงสัยกลัวมันจะช้ำน่ะ เพราะสมัยก่อนเวลาพ่อแม่ใช้ให้ไปเก็บกะเพราผมก็เด็ดยอดบ้าง หักกิ่งบ้าง มันก็ไม่เห็นเป็นไร    (รูปไม่ได้กลับหัวน่ะ ผมถ่ายรูปมาอย่างนี้เอง)
 
ต่อดีกว่า ก่อนอื่นก็ต้องทอดไข่ก่อนล่ะกัน เพราะเดี๋ยวกระทะจะเผ็ดพริกคุณลูกสาวจะทานไม่ได้ ปกติก็ไม่ค่อยทานข้าวอยู่แล้ว ทานแต่นมกับขนม หน้าตาไข่ดาวอาจไม่สวยเท่าไรน่ะ เนื่องจากกระทะที่บ้านไม่ค่อยดี (โทษกระทะไว้ก่อน) ได้สามดาวเลยวันนี้ พ่อ แม่ ลูก คนล่ะดาว
มาต่อกันที่พัดกะเพราดีกว่า สำหรับพริกกับกระเทียมที่ผมโขลกในครกผมเอาดอกอ่อนของกะเพราใส่ไปด้วยน่ะ เพื่อเพิ่มความหอมเข้าไปอีก (จริงเปล่าไม่รู้ ก็ในตำราเขาบอกมาอย่างนี้) จากนั้นก็ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชลงไปประมาณ 2 ชต.(ช้อนโต๊ะน่ะ ไม่ใช้ ชายแดนใต้) แล้วก็ตักพริกที่โขลกไว้ลงไปผัดสักครู่พอเริ่มได้ที่ ผมดูจากความเหลืองของกระเทียมเอา ก็ใส่หมูที่หมักไว้ลงไป ทิ้งไว้สักพักหนึ่งหมูเริ่มสุกก็ใส่เครื่องปรุงอื่นๆ น้ำปลา น้ำตาล ซีอิ้วขาว แล้วแต่ท่านจะชอบล่ะกัน ของผมต้องเผ็ดกับเค็มนำ ไม่เน้นหวาน ได้ที่แล้วก็ใส่ใบกะเพราลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันสักครู่แค่ให้ใบกะเพราสลดพอ แต่รู้สึกกะเพราผมมันไม่เรียกว่าสลดแล้วน่ะ
   ออกมาหน้าตาก็ถือว่าพอได้สำหรับพ่อครัวมือใหม่อย่างเรา กับข้าวเสร็จแล้วก็หุงข้าวต่อดีกว่า ที่ผมหุงข้าวที่หลังเพราะว่ากว่าคุณแม่ กะ คุณลูกจะกลับบ้านก็มืดพอดีมาถึงข้าวก็สุกทันเวลา สำหรับวันนี้ก็ขอให้อร่อยกับการทานข้าวมื้อเย็นกันน่ะครับ  ก่อนจบสำหรับวันนี้ พอดีไปถามอากู๋มา (google นี้แหล่ะ) ก็เจออันนี้มา แต่บอกไว้ก่อนน่ะ ผมตั้งใจทำก่อนแล้วไปเจอเพจนี้ก่อนจบเมื่อสักครู่นี้เองน่ะ http://news.sanook.com/1173930/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%AA-%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%8B%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B9%8A%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99/ 5555555
 
     

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อาหารเย็นนี้ ผัดยอดมะระขี้นก

    สวัสดีครับสำหรับวันหวยออก ก็ขอแสดงความเสียใจที่ถูกหวยรับประทาน และดีใจกับที่มีโชคถูกหวยรวยเบอร์น่ะครับ ส่วนตัวผมเองไม่ซื้อหวยครับ หลังจากนั่งทำงานมาทั้งวัน ก็ถึงเวลาสำหรับครอบครัวบ้างแล้ว เมนูสำหรับเย็นนี้ที่คิดไว้ ก็มีแกงส้มผักรวม ผัดยอดมะระขี้นก ต้มผักและผักสดจิ้มน้ำพริก ปิดท้ายด้วย ชะอมชุบไข่ทอด  ที่ตั้งใจไว้สำหรับแกงส้ม กับผัดยอดมะระ เนื่องจากวันก่อนไปบ้านพ่อ แล้วเห็นยอดผักปรังกำลังชูยอดเขียวชะอุ่มน่ารับประทาน ต้นแคก็ออกดอกเต็มต้น ถั่วฝักยาวที่แม่ปลูกไว้ก็กำลังกิน ล้อมรอบด้วยต้นกระเจี๊ยบที่กำลังออกฝัก แล้วยังมีผักบุ้งที่แม่ไปเก็บมาจากบ่อในป่า ผักเหล่านี้ปลอดสารพิษโดยสิ้นเชิง จะมีก็แค่ฝุ่นมากับอากาศและสิ่งที่ติดมากับสายฝนเท่านั้น ต้นผักปรังที่พ่อปลูกไว้ ใกล้ๆ กันก็จะมีเถามะระขี้นก (อันนี้ไม่รุ้ว่าคนปลูกเองหรือนกปลูกให้) ที่กำลังแตกยอดแข่งกันกับผักปรัง ซึ่้งได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากพ่อ ที่คอยรดน้ำให้  พอกลับมาถึงบ้านก็เริ่มเลยกับการทำแกงส้ม
 

นี้ ผักปลอดสารพิษทั้งน้านนนนน
 
จัดการล้าง หั่น เตรียมลงหม้อเลย
หลังจากเดือดได้ที่แล้วก็ใส่ผักลงไป อ้อ หม้อนี้แกงใส่ปลากระป๋องน่ะครับ หอมและอร่อยด้วย
หน้าตาบ้านๆ ที่แรกจะใส่หมูไปด้วย กลัวเปลือง แค่นี้ก็พอแล้ว
เมนูถัดไปก็ต้องเป็นผักต้ม และผักสดจิ้มน้ำพริก
อันนี้ผักต้ม

อันนี้ผักสด (พริกสดไม่เกี่ยวน่ะ ไม่ต้องจิ้มน้ำพริกอีกล่ะ)
เมนูต่อไป ชะอมชุบไข่ทอด น่ากินดีมัยยอดชะอมก็เก็บมาจากบ้านพ่อเหมือนกัน
เด็ดชะอมใส่แล้วตีไข่ให้เข้ากัน
 
หน้าตาดูดีพอใช้ได้ ถ้าเห็นตัวจริง จะหลงรัก มากมาย เท่ห์ซ่ะไม่มี
สำหรับเมนูปิดท้ายก็คือ ผัดยอดมะระ ทีแรกกะว่าจะใส่น้ำมันหอย แต่เนื่องจากที่บ้านไม่ได้ทำกับข้าวมานาน พอเปิดขวดดูน้ำมันหอยหรือน้ำปลาว่ะเนี้ย ใช้ไม่ได้ก็ไม่ต้องใช้ แค่เจียวกระเทียม แล้วก็ใส่น้ำปลาหน่อยก็คงพอ ที่สำคัญควรรวกยอดมะระสัก 2 - 3 ครั้งก่อน เพราะยอดมะระจะขมมาก (มันไม่ใช่ยอดมะระหวานน่ะครับ)
 
นี้ยอดมะระสดๆ จากไร่
ยอดแรกที่จะโดนเด็ดชีวี และหนวดที่แสนยาวออก
 
อันนี้ยอดสุดท้าย กว่าจะเสร็จ เกือบครึ่ง ชม. เหมือนกันน่ะ
 
เมื่อทำเสร็จแล้ว หน้าตาก็พอได้ รสชาดไม่รุ
 
พอทำเสร็จข้าวก็สุกพอดีครับ ภรรยากับลูกสาวกลับมาพอดี ขอตัวไปทานข้าวก่อนน่ะครับ ขอให้อร่อยกับอาหารปลอดสารพิษ และที่สำคัญ มื้อนี้เสียเงินค่าปลากระป๋องไป 17 บาท ไข่ไก่อีก 7 บาท เกือบลืม เศษผักที่เหลือพรุ่งนี้จะเอาไปทำปุ๋ยหมักเอาไว้ใส่ต้นไม้และผักที่ปลูกรอบบ้านครับผม
เศษผักที่เหลือครับ
ขอบคุณครับ
 
เอามาฝากครับ ประโยชน์ของมะระขี้นก โดยเฉพาะท่านที่เป็นเบาหวาน ควรอ่านครับ
และ


วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แกงลูกตำลึงกินดีกว่า

   เมื่อตอนสายวันนี้หลังจากเสร็จจากภารกิจเก็บเต็นท์ที่ กสร. มาดูงาน เลยให้ลูกน้องไปดูคอกหมูเพราะมันจะมีไก่ และ เป็ด ของอีกกองร้อยหนึ่งที่เขาเลี้ยงไว้มาขี้เต็มไปหมด ซึ่งบริเวณคอกหมูจะมีตำลึงขึ้นอยู่เต็มไปหมด ยอดตำลึงจิ้มน้ำพริกต้องเป็นหนึ่งในเมนูสำหรับอาหารเย็นนี้ พอเก็บยอดตำลึงไปก็เห็นลูกตำลึงห้อยต่องแต่งอยู่หลายลูก เลยอยากกินแกงลูกตำลึงใส่หมู่สักหน่อยแล้ว หลังจากที่ครั้งก่อนเก็บลูกตำลึงไว้ว่าจะแม่แกงให้กิน ลืมเอาลงจากรถสุดท้ายสุกทั้งถุง วันนี้จึงเอากลับมาแกงเองที่บ้านได้กินแน่นอน แต่รสชาดคงสู่ฝีมือแม่ไม่ได้แน่ๆ แต่ไม่เป็นไร ฝีมือเราแกงเองยังไงก็ต้องอร่อยอยู่แล้ว (กัดฟันพูด)
เริ่มเลยดีกว่า
ทุบลูกตำลึงไม่ต้องให้แหลกมากเพราะมันจะช้ำหมด แช่น้ำสักพักใส่เกลือไปสักหน่อยไม่ต้องเยอะ

  ตอนล้างก็บีบคั้นลูกตำลึงไปด้วยน่ะ แต่ไม่ต้องแรงมาก
 
หลังจากล้างไปสัก 3 - 4 ครั้ง ก็จะได้หน้าตาแบบนี้
 
จากนั้นก็เคี้ยวกะทิกับพริกแกง ผัดพริกแกงก่อนจะอร่อยมากกว่านี้ (ด้วยความรีบเลยลืม)
ช่วงที่เคี้ยวกะทิอยู่ก็มาหั่นหมู ฉีกใบมะกรูด เตรียมไว้
พอได้ที่ดีแล้วก็ใส่ลูกตำลึงลงไป รอสักครู่ให้ลูกตำลึงเริ่มสุกก็ค่อยใส่เครื่องปรุง น้ำปลา น้ำตาล แล้วใส่หมูลงไป พอหมูสุกก็ตักใส่ถ้วยเตรียมเสริฟ ของแถมอีกนิด ตำลึงรวก กินกับน้ำพริก แล้วก็มะเขือเปาะ มะเขือพวง มะระขี้นก

จบด้วยน่องไก่ทอด หมักซอสขาวตราเด็กอ้วนจัง


เสร็จแล้ว รอข้าวสุกก็เริ่มลงมือกันเลย .............
 

 
 

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ชิงช้าสำหรับลูกสาว (ลงมือทำเองเลย)

      เวลาที่พาน้องก้านพลูไปเที่ยวที่ไหน หากเขาไปเจอชิงช้า น้องก็จะชี้พร้อมทั้งบอกว่าจะเล่น จะนั่ง ให้ได้ ปัญหาคือเมื่อเขาได้เล่นแล้วจะไม่ค่อยยอมกลับบ้าน วันศุกร์ที่ผ่านมาก่อนวันแม่ ก็พากันไปกินหมูย่าง
ที่ร้านก็ดันมีชิงช้าและกระดานเลื่อนที่เป็นพลาสติก คราวนี้ก็ไม่ได้กินอย่างมีความสุขล่ะ เพราะเจ้าตัวน้อยจะชวนพ่อไปนั่งชิงช้าตลอด ก็เลยมีความคิดถ้าเราทำชิงช้าให้เขาเล่นใต้ร่มไม้หน้าบ้านก็คงดี จึงได้ฤกษ์เอาในวันแม่ ไปหาไม้กระดานเก่าๆ ที่บ้านพ่อคงจะมีอยู่หรอกน่ะ เดินวนหาก็ไม่มีไอ้ที่มีก็เสียดายเพราะจะต้องตัดมัน เดินวนไปอีกทางหนึ่งไปเห็นเจ้าเศษพื้นปาร์เก้เก่าอยู่จึงเกิดไอเดียร์ขึ้นมา ก็เลยเอากลับมาทำที่บ้านอุปกรณ์ก็มี ไม้ปาร์เก้ ไม้รองอีก 2 ท่อน เชื่อก ตะปูเกลี่ยวกล่องใหญ่ กล่องเล็กไม่มี น็อตเบอร์ 11 จำนวน 4 ตัว (3 อย่างหลังซื้อมา เชื่อก 55 บาทยาว 6 เมตร เขาขายขีดล่ะ 18 บาท ตะปูกับน็อต 105 รวมแล้ว 160 บาท)
เชือก

ตะปูเกลี่ยว อยากได้กล่องเล็กเขาไม่มี

ไม้ปาร์เก้เก่า ได้มาจากบ้านพ่อ (เพื่อนเอามาให้พ่อนานแล้ว)

น็อตเบอร์ 11 ยาว 2 นิ้ว 4 ตัว

สว่านนี้ตัวสำคัญไปยืมเขามา (ดีน่ะที่เขาให้ยืม จะไปซื้อต่อรุ่นพี่เงินก็ไม่มี ไว้ก่อนล่ะกัน) ว่าแล้วก็เริ่มลงมือทำกันเลย ใช้เวลาไปเกือบ 2 ชม.
ประกอบเสร็จเรียบร้อย ความคิดบวกกับฝีมือเราก็ใช้ได้นี่หว่า มีสีขาวอยู่ว่าจะพ่นของด้านล่างสักหน่อย ทำเองเสียเงินไปแค่ 160 บาท 555 ...แต่ลูกสาวยังไม่ได้นั่งเลย น่าน้อยใจจัง >..<

เริ่มต้นในช่วงเข้าพรรษานี้แหละดีนัก 1

   จากความตั้งใจว่าในช่วงเข้าพรรษานี้จะงดเหล้าเข้าพรรษาเพื่อเป็นการเลิกบุหรี่ ซึ่งถ้ายังไม่หยุดกินเหล้า แล้วจะเลิกบุหรี่ได้อย่างไร เมื่องดเหล้าแล้วคราวนี้ก็จะต้องมีเวลามากขึ้น ทำให้ต้องสนใจกับการเกษตรมากขึ้นไปด้วย ก่อนเข้าพรรษาจึงเริ่มทำการปลูกมะนาวก่อนเลย โดยไปหาซื้อดิน พันธุ์มะนาว มาปลูก พอดีในบ้านมีกระถางต้นไม้ใบใหญ่อยู่ 5 ใบ เดิมปลูกต้นโมกแก้วไว้ มานั้งคิดดูไม่ได้เกิดประโยชน์มากนัก จึงทำการเอาออก แล้วเอากระถางมาปลูกมะนาวดีกว่า
 
 
     




เริ่มต้นของความคิด

จากเดิมที่ตัวเองก็เป็นลูกหลานเกษตรกรอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าพ่อและตัวเองจะรับราชการก็ตาม แต่ก่อนตอนเด็กๆ ยังเล็กมากๆ  พ่อกับแม่ ก็ไปทำไร่อยู่ที่ อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ปลูกถั่ว ปลูกมัน ตามประสาคนจน หลังจากนั้นพอเริ่มเข้าโรงเรียน พ่อกับแม่ก็ส่งให้ไปอยู่กับปู่และย่า ที่ อ.ท่ามะกา ส่วนพ่อไปรับราชการที่ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง ต่อมาพ่อกับแม่ก็ได้ไปซื้อที่ไว้ที่ อ.ทองผาภูมิ ประมาณ 30 ไร่ พอ ป.3 แม่ก็มารับให้ไปอยู่ด้วยกันกับน้องอีก 2 คน (เมื่อก่อนโดนทิ้งให้อยู่กับปู่ ย่า คนเดียว) ที่ทองผาภูมิ ก็ปลูกฝ้ายบ้าง ข้าวโพดบ้าง บางครั้งแม่ก็ไปรับจ้างเก็บมะนาว แล้วแต่ฤดูการ พอ ป.5 ป.6 ก็กลับมาอยู่กับปู่ ย่า ตามเดิม ซึ่งบ้านปู่ก็ทำนา ทำไร่อ้อย เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว ไปตามวิถีชีวิตบ้านนอก พอขึ้น ม.1 พ่อกับแม่ก็มารับไปอยู่ด้วยเรียนต่อในเมือง จนเรียนจบ ม.6 เมื่อปี 39 ก็ไปเรียนต่อนักเรียนนายสิบ 1 ปี ก็ได้มาบรรจุอยู่ที่ค่ายสุรสีห์ กระทั้งประมาณปี 2547 พ่อก็ได้เกษียณอายุราชการก่อนกำหนด และได้ไปซื้อที่อยู่ไม่ไกลจากค่ายสุรสีห์มากนัก ที่จริงมันก็อยู่ติดกันนั้นแหละ (ยอมขายที่มรดกของปู่ เพื่อมาซื้อที่แถวนี้ เหตุผล อยากอยู่ใกล้ลูกๆ นี้แหละคนเป็นพ่อ เป็นแม่ ) โดยครั้งแรกซื้อไว้ 2 ไร่  แบ่งพื้นที่สำหรับปลูกบ้าน ขุดบ่อปลาเล็กๆ เลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ เลี่้ยงเป็ด ปลูกผักสวนครัว ที่จำเป็นจะต้องใช้ในชีวิตประจำวัน
รูปด้านบนพอเห็นบ่อน้ำแล้วเสียดาย ตอนนี้ไม่มีน้ำเลย เพราะปีก่อนช่วยกันขุดดินขึ้นมาเพื่อให้บ่อลึกลงไปอีก แต่พอฝนตกลงมา ดันเก็บน้ำไม่อยู่ ต่อมาได้ซื้อที่เพิ่มด้านหน้าอีก 1 ไร่ เดิมทีเจ้าของเก่าปลูกข้าวโพดบ้าง ปล่อยว่างบ้าง ปีแรกพ่อกับแม่ก็ยังไม่ปลูกพืชผักอะไร ปีต่อมาก็เริ่มปลูกมันสำปะหลัง ปลูกอยู่ปีเดียว ก็ไม่ได้ปลูกอะไรอีก หลังบ้านพ่อ กับแม่ก็เริ่มปลูกผักหลายอย่าง ทั้งต้นแค กล้วย มะนาว ชะอม ถั่ว ต้นยอ มะม่วง ขนุน ต้นเพกา (บางที่ก็เรียกฝักอีกา ฝักลิ้นฟ้า) ซึ่งบางอย่างเช่น ตำลึง สายบัว หลดบัว(ไหลบัว) ผักบุ้ง ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ทั้งในบ้าน และขึ้นตามห้วยหนองคลองบึง ทั่วไป แม่ก็เก็บเอาไปขายที่ตลาด ถึงตอนนี้พวกผม 3 คนพี่น้องก็มีครอบครัวกันหมดแล้ว โดยน้องคนเล็กจะอยู่กับพ่อกับแม่ คนกลางก็อยู่ในค่ายฯ เหมือนกันกับผม ซึ่งทุกวันหลังเลิกงานพวกผมก็จะเข้าไปทำกับข้าว กินกันโดยส่วนใหญ่จะเป็นผัก เป็นปลา ที่มีอยู่ในบ้านนำมาประกอบอาหารกินกัน ทั้งเป็นกับข้าว และกับแกล้มไปในตัว ปลาดุกย่าง ที่เลี้ยงในบ่อซีเมนต์ที่ก่อขึ้นกันเอง เนื้อปลาจะมีความหอม อร่อย ไม่เหม็นคาว หรือเหม็นหัวอาหาร เก็บยอดสะเดาข้างบ้านมาแกล้ม หัวกระทือที่ปลูกอยู่ใต้ต้นขนุนก็เก็บเอามาต้มจิ้มน้ำพริก แหม่!  อร่อยจริงๆ ต่อมาเมื่อประมาณ ปี 2550 ผมเองมีความรู้สึกเบื่อกับการอยู่บ้านพักของทางราชการ (ที่จริงก็เบื่อมาหลายปีแล้วน่ะ) จึงตัดสินใจไปหาซื้อบ้านซึ่งเป็นบ้านจัดสรร ตอนนั้นกำลังมาแรง โดยแม่ก็บอกอยู่หลายครั้งว่าให้มาหาซื้อที่อยู่ใกล้พ่อใกล้แม่ แต่ก็ไม่ยอมเชื่อ (ตอนนั้นกลัวเงินไม่พอด้วย มีเงินซื้อที่แต่ไม่มีเงินปลูกบ้านประมาณนั้น) อีกอย่างก็กลัวคุณนาย เรียกซ่ะหรู เขาเปิดร้านเสริมสวย เป็นห่วงเวลาเดินทางกลับบ้าน เพราะจะปิดร้านก็ต้องมี 2 - 3 ทุ่ม แถวบ้านพ่อ ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยมีคนอยู่มากเหมือนปัจจุบัน อีกอย่างคือตัวคุณภรรยาก็ไม่อยากอยู่แบบลูกทุ่งสักเท่าไร เด็กเตบก็เงี้ยะ เลยตกลงกันไปดูบ้านที่ลาดหญ้าข้ามแม่น้ำมาหน่อย ก็เลยได้ที่อยู่กันปัจจุบันนี้ล่ะครับ พออยู่มาหลายปีเข้าถึงตอนนี้ ก็อยากมีชีวิตอยู่แบบบ้านพ่อกะแม่ อยากทำการเกษตรผสมผสานกับเขาดูบ้าง เหมือนเป็นการเตรียมตัวก่อนที่ตัวเองจะเกษียณอายุอีก 20 กว่าปีข้างหน้า หากรอเกษียณคงจะมีแรงทำกินน่ะ ถ้าเริ่มเสียตอนนี้ ถึงเวลานั้น ประสบการณ์คงมีพอตัวสำหรับด้านเกษตร  ตอนนี้ก็ได้แต่เก็บเงิน เพื่อหาซื้อที่สำหรับการจะเป็นเกษตรกรผสมผสาน (ทหาร+ชาวไร่ชาวนา) 555 สำหรับการเริ่มต้นตอนนี้ รอบบ้านก็เริ่มปลูกมะนาว ชะอม แถมด้วยปลูกชวนชมอีกไม่กี่ต้น แพะตอนนี้ก็ฝากให้พ่อดูแลให้อยู่ .... ติดตามกันต่อไปสำหรับความ อยากมีชีวิตแบบเกษตรพอเพียง กินทุกอย่างที่ปลูก ปลูกทุกอย่างที่กิน

 
 สำหรับบล็อกนี้ก็เป็นการเขียนเพื่อเป็นสมุดบันทึกอย่างหนึ่ง กันตัวเองลืม ไม่ได้อวดความรู้ (เพราะความรู้ยังไม่มี) ไม่ได้ก่อกวนใคร (ถ้ามันไปกวนก็ขออภัย) ถ้าใครมีความรู้เห็นแล้วสงสารก็ช่วยชี้แนะได้น่ะคร้าบบบบบ